Thursday 27 September 2012

วิธีการสมัคร Google Adsense

วิธีการสมัคร Google Adsense แบบ Step by Step

Google Adsense เป็นระบบที่สามารถทำเงินได้มหาศาลให้กับคนไทยหลายๆ คน วันนี้ผมจึงมาแนะนำวิธีการสมัคร Google Adsense ซึ่งก่อนที่จะทำการสมัครเราต้องทำความเข้าใจกฏอยู่ 4 ข้อแบบง่ายๆ คือ
เงื่อนไขวิธีการสมัคร Google Adsense
1. ผู้สมัครจะต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง
2. เว็บไซต์ที่มาสมัครจะต้องเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ
3. เว็บไซต์ที่สมัครจะต้องเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ผิดกฏหมาย เช่น เว็บไซต์ขายหนังโป๊
4. เว็บไซต์บริการให้โหลดเพลง ฯลฯ
เมื่อทำความเข้าใจเสร็จแล้วก็มาสมัครกันเลย
วิธีการสมัคร Google Adsense
1. เข้าเว็บไซต์เพื่อสมัครทที่ http://www.google.com/adsense
2. คลิก Sign up
3. กรอกข้อมูลในส่วนของ Website Information และ Contact Information
4. รอ E-mail ตอบรับจาก Google Adsense
ดูรายละเอียดการกรอกข้อมูล Google Adsense
ดูรายละเอียดการกรอกข้อมูลคลิกที่รูป

Monday 24 September 2012

ทดสอบความทนทาน"ไอโฟน 5" พัง-ไม่พัง แตก-ไม่แตก

  •  
« เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 10:37:43 AM »
ทดสอบความทนทาน"ไอโฟน 5" พัง-ไม่พัง แตก-ไม่แตก




คนที่คิดว่าอาจทนไม่ไหวกับการทำร้ายสมาร์ทโฟนใหม่เกาะกล่องอย่าง"ไอโฟน 5"ไม่ควรดู

เว็บไซต์แกดเจ็ตอย่าง 9to5Mac และ iFixYouri ได้ทำการทดสอบความทนทานของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของแอปเปิล

ขั้นแรก่่่่่่่่่่่่่่่่่่่



ผลการทดสอบความทนทานต่อการขีดข่วน โดยใช้มีดโกนและกุญแจขูดไปมาบริเวณหน้าจอ พบว่าไอโฟน 5 ผ่านฉลุย

ผลการหย่อนให้ตกลงพื้นในระดับความสูง ต่างๆกัน ไล่ไปตั้งแต่เหนือเข่า เอว หน้าอก และไหล่  พบว่าไอโฟน 5 ยังคงอยู่ในสภาพดี และสามารถ
เปิด ใช้งานได้ตามปกติ กรอบเริ่มมีรอยบุบ และหลังการหย่อนให้ตกพื้นมากครั้งเข้า พบว่าหน้าจอเริ่มมีรอยแตก แต่ยังคงเปิดได้ตามปกติ  จึงมี
การสรุปว่า ไอโฟน 5 สามารถทนทานต่อการตกพื้นโดยไม่ตั้งใจได้หลายครั้ง



ขณะ ที่ตัวเครื่องไม่มีปัญหามากนัก แต่กลับมีผู้ใช้หลายรายพบว่า อลูมิเนียมด้านหลังเครื่องไม่ทนทานต่อการขีดข่วนโดยสิ้นเชิง ดังนั้น จึงมีผู้
ทดสอบจากอังกฤษรายหนึ่ง ใช้เหล็กเจาะถาดใส่ซิมการ์ดที่ทำจาก Liquidmetal และกุญแจ ขูดเข้ากับแผ่นอลูมิเนียมด้านหลังเครื่อง พบว่ามี
รอย ขีดข่วนอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองสี พบว่า ตัวเครื่องสีขาว ซึ่งแผ่นอลูมิเนียมไม่มีการเคลือบสี สังเกตเห็นรอยขีดข่วน
ยากกว่าตัวเครื่องสีดำ



ที่มา มติชนออนไลน์
http://www.dai-jai.com/forum/index.php?topic=1805.0

มุมมองการแก้ไขปัญหาเกษตรกรทั้ง ระบบ

มุมมองการแก้ไขปัญหาเกษตรกรทั้ง ระบบ


ผู้แต่ง: 
 ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์

วิกฤติ เกษตรกร
         ไม่มีใครปฏิเสธว่าการเกษตรยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แม้สัดส่วนรายได้ภาคเกษตรต่อรายได้ประชาชาติจะอยู่ในระดับไม่สูงนัก และไม่ใช่เพราะภาคเกษตรตกต่ำถดถอยมากมายอะไรนัก รายได้ก็ยังขึ้นๆลงๆเป็นธรรมดาผันผวนไปตามกระแสเศรษฐกิจโลก แต่เป็นเพราะภาคเศรษฐกิจด้านอื่นๆโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการส่งออก การบริการและการท่องเที่ยวเติบโตเร็วกว่ามาก เมื่อมองตัวเลขในเชิงเปรียบเทียบทำให้ภาคเกษตรไม่ค่อยมีความสำคัญในเชิง เศรษฐกิจ และจำนวนเกษตรกรก็มีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วคือจากกว่า ร้อยละ ๗๐ ในช่วงเริ่มแผนพัฒนาประเทศ มาเป็นร้อยละ ๕๐ ในช่วงแผนฯ ๕ และเหลืออยู่ราวร้อยละ ๓๐ ในปัจจุบัน หากแนวโน้มการพัฒนาการเกษตรเป็นไปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ และไม่มีการแก้ไขปัญหาเกษตรกรอย่างจริงจัง เชื่อว่าอีกไม่เกิน ๓๐ ปี จำนวนเกษตรกรไทยจะเหลือต่ำกว่าร้อยละ ๑๐ เช่นเดียวกับประเทศในยุโรป ญี่ปุ่นและอเมริกา เพราะเกษตรกรอิสระรายเล็กรายน้อยจะค่อยๆเลิกไปหรือเปลี่ยนไปเป็นแรงงานรับ จ้างในโรงงาน ภาคกลางภาคตะวันออกอาจจะหมดไปก่อนเพื่อนเพราะที่ดินส่วนใหญ่หลุดมือจาก เกษตรกรไปแล้ว ภาคอีสานแม้เกษตรกรจะมีสัดส่วนการถือครองที่ดินอยู่สูงกว่าที่อื่นแต่ แรงกระตุ้นการลงทุนระยะยาวด้วยการปลูกยางพารา ไม้โตเร็วและพืชพลังงานอาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรรายย่อยซึ่งมีทุนน้อยอยู่ไม่ได้ต้องขายที่ดินหรือขาย กิจการให้ผู้ประกอบการรายใหญ่แล้วผันตัวเองเป็นแรงงานเกษตรรับจ้างในที่ดิน ที่เคยเป็นของตนเอง ส่วนภาคเหนือและภาคใต้พื้นที่เกษตรที่มีศักยภาพสูงในการผลิตก็เปลี่ยนมือ เป็นสวนพืชเศรษฐกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งต่างชาติและในประเทศไทยและ กลุ่มรีสอร์ทไปเป็นจำนวนมากแล้ว ที่ยังเหลืออยู่บ้างคงเป็นกลุ่มเกษตรกรพันธะสัญญาแต่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะต้องแบกรับความเสี่ยงในระบบการผลิตที่สูงขึ้น กลุ่มเกษตรกรที่อิงกับรายได้ข้างนอกด้วยค่าตอบแทนการประชุมค่าวิทยากรอบรม หรือทำโครงการขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐทำนองนี้ก็พอจะเอาตัวรอดไปได้แต่ก็ จะถูกจัดการจนอ่อนแอและพึ่งตนเองได้ยาก ที่จะเหลือเป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีอิสระในการดำเนินชีวิตจริงๆสู้กับโลกา ภิวัฒน์ได้น่าจะเป็นกลุ่มที่มีวิถีชีวิตอิงความเชื่อในธรรมชาติและหลักศาสนา ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่มีอายุค่อนข้างมากแต่ก็มีกิจกรรมสืบทอดความเชื่อและ อุดมการณ์ให้กับทายาทรุ่นใหม่
        ปัจจุบันและแนวโน้มอนาคตของเกษตรกรที่ค่อนข้างมืดมนเพราะมีข้อมูลเชิง ประจักษ์ที่สำคัญ ๕ ประการคือเรื่องที่ดินทำกิน การเข้าถึงทรัพยากร หนี้สิน การตลาดและสุขภาวะที่ทำให้เกษตรกรอยู่ไม่รอด
        ประการแรกเรื่องที่ดินทำกิน มี ๒ ประเด็นย่อย ประเด็นแรกคือเกษตรกรจำนวนมากไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ต้องเช่าที่ดินทำกิน ประเด็นที่สองเกษตรกรที่ยังมีที่ดินจำนวนมากแต่ละปีต้องสูญเสียที่ดินทำกิน ให้กับสถาบันการเงิน ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการจากกรณีการฟ้องยึดที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์ประกันของ สมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรรมและเกษตรกรทั่วไป ที่ดินเหล่านี้กลายเป็นเอนพีเอหรือสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการ ผลิต ธนาคารก็ยังฟ้องเกษตรกรที่หนี้เสีย และก็มักลงเอยด้วยการยึดที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์ประกันอยู่ทุกวันนี้ จำนวนเกษตรกรที่สูญเสียที่ทำกินและต้องหาเช่าที่ดินทำการเกษตรจึงเพิ่มขึ้น ปีละไม่น้อยกว่าสี่ห้าหมื่นรายถ้าคิดเฉลี่ยที่ดินเกษตรกรรายละ ๒๐ ไร่ก็จะประมาณ ๑ ล้านไร่ต่อปี ยังไม่รวมที่ดินที่เกษตรกรรายย่อยที่ทำนากุ้ง เลี้ยงปลา ปลูกไม้โตเร็ว ที่ต้องขายที่ดินและกิจการให้บริษัทเอกชนการเกษตรขนาดใหญ่และผันตัวเองเป็น แรงงานในฟาร์ม
        ประการที่สองการเข้าไม่ ถึงทรัพยากรการผลิต โดยเฉพาะน้ำ ทะเล ป่า และทรัพยากรพันธุกรรมทั้งหลายที่อยู่ในป่า ซึ่งเป็นฐานชีวิตของเกษตรกรและชาวประมงขนาดเล็ก ทำให้เกษตรกรรายย่อยขาดศักยภาพในการเพิ่มผลผลิต เกษตรกรชายเขตป่าถูกตัดขาดจากทรัพยากรในป่า ชาวประมงพื้นบ้านถูกเรืออวนรุนอวนลากทำลายแหล่งหากิน พันธุกรรมพื้นเมืองทางการเกษตรถูกทำลายลงด้วยความเข้าใจผิดของนักวิชาการว่า เป็นของด้อยค่าจนเกษตรกรไม่สามารถใช้พันธุ์พืชพันธุ์สัตว์พื้นเมืองได้อีก แหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อการเกษตรถูกจัดการด้วยเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และควบคุมโดยรัฐทำให้เกษตรกรเข้าไม่ถึงแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ที่ดินรอบแหล่งน้ำสาธารณะหลายแห่งถูกบริษัทการเกษตรขนาดใหญ่กว้านซื้อแล้ว ยึดแหล่งน้ำสาธารณะเป็นของส่วนตัว
        ประการที่สามเรื่องหนี้สิน มี ๒ ประเด็น ประเด็นแรกหนี้สถาบันการเงินในระบบและประเด็นที่สองหนี้นอกระบบ ซึ่งหนี้ทั้งสองระบบเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด เริ่มจากหนี้สินเกษตรกรในระบบเพิ่มขึ้นรวดเร็วมาก เพิ่มในอัตราที่สูงกว่าหนี้สินครัวเรือนทั่วไปด้วยวิธีการหมุนหนี้ การกู้หนี้ครั้งแรกเป็นจำนวนไม่มากแต่รายได้จากการเกษตรก็ไม่พอใช้หนี้จึง ต้องกู้หนี้ครั้งที่สองเพื่อเอามาใช้หนี้และดอกเบี้ยหนี้กู้ครั้งแรกและ เหลือส่วนหนึ่งไว้ใช้สอย กู้ครั้งที่สามก็เพื่อใช้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้ครั้งที่สองและ เหลือส่วนหนึ่งไว้ใช้สอย เมื่อกู้จนยอดหนี้สินชนเพดานทรัพย์ประกันไม่สามารถหมุนเงินกู้ในระบบต่อไป ได้ ก็ต้องดิ้นรนกู้เงินกลุ่มเงินกองทุนในหมู่บ้านมาหมุนต่อ สุดท้ายก็ต้องไปกู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยสูงร้อยละ ๕-๒๐ ต่อเดือนมาผ่อนใช้หนี้ในระบบ ยอดหนี้เกษตรกรจึงสูงขึ้น ๒-๓ เท่าตัวในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาแต่ก็ไม่มีนักวิจัยสถาบันไหนที่สนใจศึกษาตัว เลขเงินกู้นอกระบบเหล่านี้ อย่างไรก็ดีแม้ยังไม่มีรายงานหนี้สินของเกษตรกรรวมทั้งประเทศ แต่เมื่อลองคำนวณจากการซื้อหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเมื่อต้นปี ๒๕๕๐ พบว่าเกษตรกรเป็นหนี้โดยประมาณ ๑๗๒,๓๗๕ บาท/ราย เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูจำนวน ๖.๓ ล้านคน ถ้ารวมเกษตรกรที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯอีกจำนวนหนึ่ง รวมกันอาจจะถึง ๑๐ ล้านคน คิดอย่างหยาบๆก็จะเป็นหนี้รวมกันไม่น่าจะน้อยกว่า ๑ ล้านล้านบาท ซึ่งน่าจะถึงครึ่งหนึ่งของหนี้สาธารณะซึ่งมีประมาณ ๒.๕ ล้านๆบาท หรือ หนึ่งในสี่ของ GDP (ตัวเลขของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ปี ๒๕๔๙)
        ประการที่สี่เรื่องตลาด ตลาดเป็นของพ่อค้าแต่การลงทุนและความเสี่ยงเป็นของเกษตรกร เกษตรกรจึงไม่มีส่วนในการตัดสินใจกำหนดราคาตลาด ราคาผลผลิตการเกษตรจึงไม่เป็นธรรม ไม่แน่นอน ขึ้นๆลงๆตามอำนาจซื้อของพ่อค้าขณะที่ราคาปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้นโดยที่ ไม่เคยลดลง ตัวอย่างเช่นราคาข้าวเปลือก ค่อนข้างคงที่ในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา (๒๕๔๖-๒๕๔๙) แต่ราคาปุ๋ย ขึ้นมาเท่าตัว ราคาผลไม้ก็เช่นกันปีนี้ผลไม้ดกแต่ราคาตกต่ำขายไม่คุ้มทุน เกษตรกรที่เลี้ยงปลาในกระชังใช้เวลาเลี้ยงปลานานกว่าหกเดือน ขายปลาหนึ่งกิโลกรัมขาดทุนสี่ห้าบาท พ่อค้ารับซื้อปลาไปขายต่อครึ่งวันได้กำไรกิโลละไม่ต่ำกว่า ๑๐ บาท ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าราคาผลผลิตเกษตรจะถูกกดลงต่ำสุดเป็นช่วงเวลา หนึ่งอาจเป็น ๒-๕ ปี พอเกษตรกรส่วนใหญ่เตรียมจะเลิกการผลิตพ่อค้าก็จะดั๊มราคาขึ้นมากระตุ้นให้ เกษตรกรตาโตอยากได้เงินหันกลับมากู้เงินลงทุนทำการผลิตต่อไปอีก การเคลื่อนไหวของราคาตลาดในปัจจุบันจึงเป็นแบบเลี้ยงเกษตรกรไม่ให้โต เกษตรกรอ่อนแอก็ล้มไปก่อน เกษตรกรที่เข้มแข็งกว่าก็จะค่อยๆล้ม เกษตรกรที่อยู่รอดได้ก็ต้องปรับตัวหันมาเป็นพ่อค้าคนกลางบ้าง เป็นตัวแทนจำหน่ายอาหารยาและปุ๋ยบ้าง ดังตัวอย่างเกษตรกรเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลากระชัง เป็นต้น บ้างก็อาศัยเงินที่ลูกหลานที่ทำงานในเมืองส่งให้เป็นรายเดือน
        ประการที่ห้าเรื่องสุข ภาวะ เคยนำเกษตรกรสมาชิกเครือข่ายอาชีพเกษตรกรแม่น้ำปราจีนบุรีมาตรวจวัดสารเคมี ในเลือดพบว่าเกษตรกรร้อยละ ๗๐ มีสารเคมีในเลือดในระดับเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การพูดคุยกับเครือข่ายเกษตรกรอื่นทั่วประเทศก็มีสถานการณ์เช่นเดียวกัน ทุกฤดูการผลิตไม่ว่าจะเป็นข้าว พืชไร่ พืชสวน หากได้ออกไปในไร่นาก็จะได้กลิ่นสารเคมีกำจัดหญ้ากำจัดแมลงทั่วทุกหนแห่ง เกิดผลกระทบทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค เกษตรกรเองหนักกว่าเพื่อนเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงในฐานะเป็นผู้ใช้ยาและ เป็นผู้บริโภคผลผลิตด้วย

ปรากฏการณ์ปัญหาเกษตรกร
        สภาพปัญหาหลักของเกษตรกรเชื่อมโยงกันเป็นวงจรและเกิดขึ้นซ้ำซากตลอดเวลาที่ เกษตรกรทำการผลิต ยิ่งผลิตมากก็ยิ่งขาดทุนมาก ยิ่งขยันมากยิ่งขาดทุนมาก ทำให้เกษตรกรปัจจุบันอยู่ได้ลำบาก ลูกหลานเกษตรกรเห็นสภาพทุกข์ของพ่อแม่จึงไม่ต้องการสืบทอดวิถีการเกษตรอีก ต่อไป เกษตรกรรายย่อยในวันนี้ที่อายุยังน้อยเฉลี่ยราวสี่สิบปี ถึงแม้จะยังไม่สูญเสียที่ดิน ทำการผลิตได้ตามปรกติแต่เชื่อว่าต้องยุติบทบาทตัวเองในอีกไม่เกิน ๓๐ ปีข้างหน้าเมื่อถึงวัยชราไม่มีศักยภาพในการทำการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกต่อไปและไม่มีผู้สืบทอด ส่วนผู้ที่ต้องขาดทุนซ้ำซาก เป็นหนี้สิน และสุดท้ายต้องสูญเสียที่ดินที่ใช้เป็นทรัพย์ประกันก็อาจจะต้องเลิกอาชีพการ เกษตรเร็วยิ่งขึ้น ผู้ที่สุขภาพไม่ดีจากการใช้สารเคมีมากก็อาจต้องเลิกหรือขายที่เพราะสุขภาพ ไม่แข็งแรงพอที่จะทำการผลิตได้ โดยสรุปสภาพปัญหาที่ดิน ฐานทรัพยากร หนี้สิน ตลาด และสุขภาพ ทำให้เกษตรกรอ่อนแอทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม สุขภาพกายและจิตใจก็อ่อนแอ จนต้องเลิกอาชีพนี้ไปหรือเหลือน้อยเหมือนเกษตรกรในยุโรปทุกวันนี้
        หากวิเคราะห์เหตุปัจจัยรากเหง้าที่ทำให้เกิดปัญหากับเกษตรกรและการเกษตรของ ประเทศให้รอบด้านก็จะต้องวิเคราะห์ทั้งสองด้าน คือด้านในหรือปัจจัยที่เกิดจากภายในตัวเกษตรกรเอง และปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก สำหรับเหตุปัจจัยภายในตัวเกษตรกรเองคือความโลภหวังรวย และปัจจัยภายนอกคือสภาพแวดล้อมในระบบโลกาภิวัฒน์ได้แก่เงิน ข่าวสารเทคโนโลยีและอำนาจทางการเมืองการทหาร ที่ทั้งกระตุ้นจูงใจและบีบบังคับให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมไป มุ่งหาเงิน ลงทุนและบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
มองเหตุปัจจัยจากภายใน แก้ที่เกษตรกร
        อกุศลมูลอันเป็นรากเหง้าของกิเลสได้แก่ความโลภโกรธหลงทำให้เกิดอกุศลธรรม ระดับปรากฏการณ์ ๓ ประการที่ทำให้เห็นสิ่งผิดเป็นถูกคือ ตัณหาทำให้เกิดทำให้อยาก อยากรวย อยากได้โน่นอยากได้นี่ มานะคือความทะนงตนว่าสิ่งโน่นสิ่งนี่เป็นของตน มุ่งครอบครองแข่งขันเอาชนะทุกรูปแบบถือตนว่าแน่กว่าใครจึงไม่ฝึกตนไม่เรียน รู้ทางเลือกใหม่ๆ และทิฎฐิซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิคือเห็นชั่วเป็นดีเห็นสารเคมีเป็นยาวิเศษ อกุศลธรรมทั้งปวงทำให้ความคิดและพฤติกรรมเกษตรกรเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยหา อยู่หากินอยู่ร่วมกับธรรมชาติแบบพอมีพอใช้ มาเป็นซื้อกินจึงต้องหาเงินให้เท่าหรือรวยยิ่งกว่าคนอื่นทำให้ไม่รู้จักพอ ใจใหญ่ใจโต เบียดบังทำลายขายธรรมชาติ เมื่อมีปัจจัยภายนอกมากระตุ้นล่อหลอกให้เชื่อให้ทำก็จะตามตามกระแสเงิน เริ่มด้วยการลงทุนซื้อเทคโนโลยีและปัจจัยการผลิตทุกอย่าง คนเริ่มทำก่อนก็มักจะได้กำไรดีมีเงินหมุนผ่านมือเยอะแต่ได้ไม่กี่คนและหา เงินได้ไม่นาน ตัวอย่างเช่นมะม่วงหิมพานต์ กุ้งกุลาดำ และการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวชนิดต่างๆ หาเงินได้ง่ายก็ใช้ง่ายและบริโภคฟุ่มเฟือย เงินที่ได้ก็ไม่เหลือเก็บ คนทำที่หลังก็มักขาดทุนเพราะต้นทุนเริ่มสูงขึ้นแต่ราคาสินค้าต่ำลงเพราะการ แข่งขันสูงขึ้น
การแก้ปัญหาภายในต้องเริ่มต้นด้วยการปรับความคิดและ พฤติกรรมของเกษตรกร ให้คิดวิเคราะห์เป็นบนฐานข้อมูลและความเป็นจริง เกษตรกรต้องยอมรับก่อนว่าการวิ่งตามโลกอย่างไม่ลืมหูลืมตาหวังรวยต้องเผชิญ กับระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนอ่อนแอเป็นเหยื่อคนแข็งแรงกว่าสุดท้ายก็ต้องประสบกับวิบัติในที่สุด การคิดเป็นทำเป็น พึ่งตนเองได้ ค่อยๆทำค่อยๆขยาย และบริโภคในสิ่งที่จำเป็นจะช่วยให้เกษตรกรอยู่รอดระยะยาวในสถานการณ์โลกาภิ วัตน์ได้

มองจากเหตุปัจจัยภายนอก แก้ที่ตัวปัญหา 
         เมื่อรัฐมุ่งพัฒนาไปตามแนวทางกระแสหลักของโลกาภิวัฒน์ การศึกษาก็ต้องออกนอกระบบให้แข่งขันเชิงการค้ากับโลกตะวันตกได้ การใช้พลังงานก็ต้องเปลี่ยนจากแรงงานสัตว์และพลังงานลมติดรหัสวิดน้ำมาเป็น เครื่องจักรกลใช้น้ำมันยนต์ การเดินทางติดต่อกับภายนอกก็ต้องซื้อรถเป็นยานพาหนะส่วนตัวมาใช้สอยส่วนตัว แทนการเดินทางในระบบขนส่งมวลชน ตลอดจนปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมีนำเข้าทั้งปุ๋ยและยาทำให้ต้นทุนชีวิตและ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ชีวิตที่แพงขึ้นทุกๆด้านบีบคั้นให้เกษตรกรต้องหาเงินมาใช้จ่ายค่าการศึกษา เล่าเรียนบุตรหลาน ค่าพลังงานทำการเกษตร ค่าปัจจัยการผลิต และเมื่อเหนื่อยล้าก็ต้องจ่ายเป็นค่าอบายมุขค่าเหล้าค่าบุหรี่ค่าบันเทิงของ ฟุ่มเฟือยเพื่อคิดจะกลบเกลื่อนความทุกข์ชั่วขณะเพียงเท่านั้น หมดฤทธิ์เหล้ายาก็กลับมาทุกข์ มีมากที่ยิ่งทุกข์หนักไปกว่าเดิม
        แม้จะรู้ว่าปัญหาหลักทั้งห้าประการคือที่ดิน การเข้าถึงทรัพยากร หนี้สิน ตลาดและราคาผลผลิต และสุขภาพเป็นปัญหาปลายเหตุ แต่ด้วยวิกฤติของปัญหาทำให้ต้องมีการแก้ไขเร่งด่วนด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีหากแก้ทีละปัญหา ก็ไม่รู้จบ เพราะเกษตรกรแต่ละคนมีปัญหาไม่เหมือนกัน การแก้ปัญหาด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาด้านอื่นๆได้รับการแก้ไขไปด้วย เกษตรกรหลายรายที่สูญเสียที่ดินและได้รับความช่วยเหลือให้มีที่ดินทำกินได้ อีกครั้ง ก็ต้องสูญเสียที่ดินซ้ำสองจากหนี้สินอีกเช่นเคย หน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับหนี้สิน พยายามใช้มาตรการต่างๆมาช่วยเหลือ ทั้งพักชำระหนี้ ตัดลดยอดหนี้ลงครึ่ง บ้างก็สนับสนุนให้เกิดการออม แต่ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดเชื่อมโยงกันเป็นวงจรทุกฤดูกาลผลิตได้
        ความพยายามในเชิงหลักการที่มีส่วนใกล้เคียงกับความเป็นจริงคือวิธีการของกอง ทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ในการซื้อหนี้ การฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้เพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยให้ ความร่วมมือ และอีกประการหนึ่งจำนวนหนี้ก็มีมากจนเกินกำลังที่รัฐบาลจะหาเงินมาซื้อหนี้ ได้ เหตุผลเบื้องหลังที่สำคัญที่ฝ่ายเจ้าหนี้ไม่ยอมเพราะเขายังเชื่อว่ามี เกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกหนี้ที่ดีและยังเชื่อมั่นกับระบบการให้กู้ยืม ของธนาคารเหล่านี้ได้ และก็หาทางจัดการหนี้ดีๆด้วยตัวเองดังเช่นกรณี ธกส.ที่กำลังปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกรอยู่ในปัจจุบัน สำหรับในด้านรัฐบาลเชื่อว่าคงไม่สามารถหาหลักประกันได้ว่าเกษตรกรจะไม่ก่อ หนี้อีก ตราบใดที่ปัญหาการตลาดและความเสี่ยงในการผลิตของเกษตรกรยังไม่ได้รับหลัก ประกัน
แต่ทำไมเกษตรกรจึงไปฝากความหวังในการแก้ไขปัญหาไว้กับรัฐบาลเกิน ไป ไปทุ่มความหวังทั้งหมดไว้กับการที่จะให้รัฐนำเงินมาซื้อหนี้ซึ่งดูนโยบาย พรรคการเมืองต่างๆแล้วยังไม่เห็นว่าจะเป็นจริงได้
ทางออกของเกษตรกร จากวงจรแห่งความล้มเหลวซ้ำซาก 
       
       ผู้เขียนมีข้อเสนอที่จะนำไปสู่การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกร ดังนี้
ในเชิงหลักการ 
      ๑) ต้องมีความเชื่อมั่นในคุณค่าของการเกษตรและเกษตรกรว่า เป็นฐานรากสำคัญของประเทศ หากไร้การเกษตรประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่อ่อนแอและพึ่งตนเองไม่ได้แม้แต่ ด้านอาหารและยา
      ๒) ปัญหาการเกษตรทุกปัญหาแก้ไขได้ด้วย วิถีทางที่สร้างสรรค์และเป็นระบบ แม้บางประเด็นจะต้องใช้เวลายาวนานก็ตาม
      ๓) เกษตรกรต้องแก้ปัญหาของเกษตรกรเอง ไม่มีใครแก้ไขปัญหาเกษตรกรได้นอกจากตัวเกษตรกรเอง ยิ่งมีคนนอกเข้ามาแก้ก็ยิ่งทำให้ปัญหายุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก
      ๔) รัฐต้องสนับสนุนเกษตรกรให้แก้ปัญหาตนเอง รัฐต้องมีบทบาทเป็นพี่เลี้ยง ประคับประคองให้กลุ่มองค์กรเกษตรกรลุกขึ้นได้ เดินได้ วิ่งได้ โดยไม่ต้องไปอุ้มไปสงเคราะห์แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
      ๕) ภาคธุรกิจเอกชน ต้องไม่เอารัดเอาเปรียบเกษตรกร ต้องร่วมรับความเสี่ยงกับเกษตรกร โดยเฉพาะในกรณีหนี้ เจ้าหนี้ต้องให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหา
ในเชิงโครง สร้างทางสถาบัน
      มีข้อเสนอ ๓ ประการเพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างอำนาจและการพัฒนาสถาบันเกษตรกรให้มีความ เข้มแข็งและมีความสามารถในการจัดการปัญหาของตนเอง ได้แก่
      ๑) สถาบันเกษตรกรหรือสภาเกษตรกร การพัฒนายกระดับการทำงานของเกษตรกร ควรจะต้องยกระดับการทำงานในระดับกลุ่มและองค์กรเครือข่ายต่างๆให้เป็นสถาบัน ในรูปแบบสภาเกษตรกร ให้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแนวทางการจัดการปัญหาของเกษตรกรด้วยตน เอง โดยเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น จึงจะทำให้เสียงของเกษตรกรมีพลังและข้อเสนอของเกษตรกรได้รับการพิจารณาจาก ฝ่ายรัฐบาลอย่างจริงจัง
      ๒) สถาบันการเงินเกษตรกรหรือธนาคารเกษตรกร การแก้ปัญหาหนี้สินและการฟื้นฟูพัฒนาระบบการผลิตของเกษตรกรในปัจจุบันทำได้ ยาก ไม่มีพลังเพราะต่างคนต่างทำ โดยเฉพาะ ธกส. ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของเกษตรกรกำลังปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกรราว ๑ แสนรายในวงเงินประมาณ ๔ หมื่นล้านบาท ส่วนสถาบันการเงินของเกษตรกรเองเช่นสหกรณ์ออมทรัพย์และกลุ่มออมทรัพย์ต่างๆ มีเงินรวมกันไม่น้อยกว่า ๔ แสนล้านบาท (ข้อมูลกรมส่งเสริมสหกรณ์ ๒๕๕๐) และก็พยายามยกระดับการบริหารจัดการสหกรณ์และกลุ่มออมทรัพย์ให้เข้มแข็ง ไม่รวมรวมทั้งธนาคารพานิชย์อื่นๆ ซึ่งก็มีแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ของตนเอง แต่โดยภาพรวมเงินที่มีอยู่ในสถาบันการเงินต่างๆโดยเฉพาะสหกรณ์และกลุ่มออม ทรัพย์ยังไม่สามารถนำเงินมาซื้อหนี้หรือฟื้นฟูเกษตรกรได้จริงเพราะเหตุผล ๒ ประการ ประการแรกปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกรต่ำ และประการที่สองความสามารถในการบริหารจัดการการเงินของสถาบันการเงินเกษตรกร มีต่ำ
ข้อเสนอในเชิงสถาบัน จึงต้องรวมพลังการบริหารจัดการการเงินเข้าด้วยกัน ใช้กองทุนหรือกลุ่มออมทรัพย์ในระดับหมู่บ้านเป็นหน่วยจัดการการเงินย่อย และรวมหน่วยย่อยเหล่านี้ทั่วประเทศเข้าด้วยกัน ก็จะช่วยหมุนเงินลงไปซื้อหนี้และฟื้นฟูเกษตรกรได้มากกว่าที่แยกกันทำอยู่ใน ปัจจุบัน อนึ่งหากรวมตัวเป็นสถาบันการเงินของเกษตรกรได้ และมีการพัฒนาระบบการออมที่ดี เช่นออมวันละ ๑-๒ บาง เกษตรกรก็จะมีเงินออมไหลเข้าสถาบันเกษตรกรเองวันละไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้านบาทหรือปีละกว่า ๓๐๐๐ ล้านบาท ถ้าทำได้เงินจำนวนนี้ก็มากพอที่จะซื้อหนี้และฟื้นฟูเกษตรกรได้ปีละไม่ต่ำ กว่า ๒ หมื่นคนแล้ว
       ๓) สถาบันวิจัยพัฒนาของเกษตรกร เมื่อเกษตรกรเชื่อฟังคนอื่นเข้ามาแนะนำโดยละทิ้งความรู้ภูมิปัญญาของตนเอง เมื่อเกิดปัญหาเกษตรกรก็ไม่สามารถจัดการปัญหาได้เองต้องพึ่งความรู้ภาย นอกอยู่ตลอดเวลาการเกษตรจึงไม่ยั่งยืน การศึกษาความรู้และภูมิปัญญาพื้นบ้านของเกษตรกรโดยสถาบันวิชาการหลายแห่งชี้ ให้เห็นว่าการเกษตรกรรมจะยั่งยืนต้องอาศัยความรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้านเป็นฐาน และพัฒนาความรู้ใหม่ๆขึ้นมาต่อยอด จึงเสนอให้ยกระดับงานวิจัยไท้บ้านของเกษตรกรขึ้นเป็นสถาบันวิจัยพัฒนาของ เกษตรกร เพื่อทำงานศึกษาวิจัยสนองตอบปัญหาความต้องการของเกษตรกรโดยตรง
ในเชิง กระบวนการ
       กระบวนการแก้ปัญหา ต้องขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เริ่มด้วยการ
       ๑) รวมคน รวมองค์กร เข้าด้วยกัน ทำความเข้าใจปัญหาเกษตรกรทั้งระบบอย่างจริงจัง ในรูปแบบสภาเกษตรกร ชื่อสภาเกษตรกรแห่งชาติอาจดูเป็นการรวมศูนย์แต่ไม่ต้องไปสนใจรูปแบบ ส่วนที่น่าสนใจคือโอกาสที่เกษตรกรทุกกลุ่มจะรวมตัวกัน และร่วมกันทำงานอย่างมีหลักมีเกณฑ์ และผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายไปสู่รัฐบาลได้จริง
       ๒) ยกระดับการบริหารจัดการองค์กรทางการเงิน โดยรวมเงินออม เงินกลุ่มออมทรัพย์ สหกรณ์การเกษตร และองค์กรการเงินของเกษตรกรทุกรูปแบบ ไม่ได้เอาเงินมากองรวมกันแล้วรวมศูนย์การบริหาร แต่เป็นการสร้างระบบการจัดการร่วมเพื่อแก้ปัญหาที่ใหญ่กว่าปัญหาระดับกลุ่ม ระดับชุมชนระดับเครือข่ายให้ได้
       ๓) วางระบบบริหารจัดการเงิน ในระยะยาวอาจจะต้องจัดตั้งสถาบันการเงินของเกษตรกรขึ้นมาเอง ในรูปแบบธนาคารเกษตรกรหรือธนาคารเพื่อชุมชน หามืออาชีพมาบริหารเพื่อประโยชน์ของเกษตรกร
       ๔) เอาเงินที่เกษตรกรออมมาทำประโยชน์ให้เกษตรกร ทำอย่างน้อย ๒ อย่าง อย่างแรกซื้อหนี้เกษตรกรและผ่อนส่งดอกเบี้ยต่ำระยะยาว อย่างที่สองให้รัฐบาลกู้ดอกเบี้ยสูงเพื่อนำเงินมาทำ ๓ อย่างคือ ๑) ซื้อที่ดินมากระจายการถือครองที่ดินให้เกษตรกรเป็นหลักประกันว่าเกษตรกรทุก คนต้องมีที่ดินทำกินขั้นพื้นฐานอย่างน้อย ๓-๕ ไร่ทุกคน ๒) เอาเงินมาซื้อหนี้เกษตรกรออกมาจากธนาคาร โอนหนี้มายังธนาคารเกษตรกร ๓) เอาส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้ยืมส่วนหนึ่งมาทำระบบสวัสดิการเกษตรกร ให้เกษตรกร รัฐ และธนาคารเกษตรกรออกคนละส่วน เพื่อเป็นหลักประกันให้กับเกษตรกรยามสิ้นไร้เรี่ยวแรงทำการเกษตร
       เกษตรกรที่ถูกยกย่องเป็นกระดูกสันหลังของชาติได้ผลิตอาหารเลี้ยงสังคมมายาว นาน จนกระดูกผุกร่อนอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาที่ซับซ้อน ได้ด้วยตัวเองตามลำพัง หากไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างจริงจังจากรัฐบาลในระยะแรก กระบวนการคุ้มครองฟื้นฟูพัฒนาเกษตรกร ก็คงเกิดขึ้นได้ยาก
       รัฐบาลชุดต่อไปจึงต้องผลักดันกฎหมายสภาเกษตรกร ผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน การปรับปรุงกฎหมายด้านสหกรณ์ และกฎหมายเกี่ยวกับการเงินนำไปสู่การจัดตั้งธนาคารเกษตรกรหรือธนาคารเพื่อ เกษตรกรและชุมชน และพัฒนาระบบสวัสดิการเกษตรกร รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เกษตรกรเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและน้ำ ให้เกษตรกรมีที่ดินทำกิน มีน้ำใช้ทำการเกษตรและเข้าถึงทรัพยากรในป่าชุมชน เพียงเท่านี้เกษตรกรและภาคเกษตรก็จะอยู่ได้ มีความสามารถในการปรับปรุงระบบการผลิต มีความสามารถในการจัดการหนี้สินเพื่อการผลิต และมีความสามารถในการจัดสวัสดิการเกษตรกร และอยู่รอดเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้เอง

       หมาย เหตุ : บทความนี้เป็นการทดลองเขียนความคิดเพื่อแก้ปัญหาของเกษตรกร จากประสบการณ์การลงไปทำงานกับเกษตรกรที่บ้านเกิดปราจีนบุรี และเข้าเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคณะทำงานกระจายรายได้ และคณะทำงานเฉพาะกิจพิจารณา พรบ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และ คณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พรบ.สภาการเกษตรแห่งชาติ รวมทั้งการยกร่าง พรบ.สภาเกษตรกรแห่งชาติขึ้นมาเสนอต่อเกษตรกรเครือข่ายต่างๆ ตั้งแต่สิงหาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นมา อ่านแล้วโปรดวิจารณ์ตรงๆแรงๆแล้วกรุณาแจ้งความเห็นมาที่ผมด้วย จักขอบคุณยิ่งครับ

ข่าวเกษตร



ปลูก"ไผ่กวนอิม"ไม้มงคลทำเงินชาวบ้านหนองอ้อ

ปลูก"ไผ่กวนอิม"เพื่อการส่งออกไม้มงคลทำเงินชาวบ้านหนองอ้อ


          คนโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นกวนอิมทองไว้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้านมีฐานะดีเกิดความร่ำรวย เพราะต้นกวนอิมเป็นไม้นำโชคและของมีค่ามาสู่คนในบ้าน จึงถือเป็นไม้มงคล นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าต้นกวนอิมทองเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนโบราณใช้ต้นกวนอิมทองประกอบในพิธีบูชาพระเจ้าและในพิธีสำคัญทางศาสนาด้วย

          จากความเชื่อดังกล่าวทำให้คนในหมู่บ้านหนองอ้อ ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย หันมาปลูกต้นกวนอิมหรือไผ่กวนอิม ในเชิงพาณิย์กันมากขึ้น เพราะมองเห็นว่าสามารถสร้างรายได้เสริมได้เป็นอย่างดี โดยมีนางอัมพร สมบูรณ์ เกษตรกรแห่งบ้านหนองอ้อ เริ่มปลูกเป็นคนแรกเมื่อปี 2525 จากนั้นได้ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีชาวบ้านปลูกไผ่กวนอิมมากกว่า 60 ครัวเรือน บนเนื้อที่ว่า 800 ไร่

          เหรียญทอง เนมหาวรรณ์ ประธานกลุ่มเกษตรกรปลูกไผ่อวนกิมบ้านหนองอ้อ ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย บอกว่า การปลูกมี 2 วิธี คือ ปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร โดยใช้กระถางทรงสูงขนาด 8-12 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักผสมแกลบผุและดินร่วม ในอัตราส่วน 1 : 1 : 1 ปลูก ควรเปลี่ยนกระถาง 1-2 ปีต่อครั้ง เพราะการขยายตัวของรากแน่นเกินไปปและการแตกกอของทรงพุ่มโตขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเกลี่ยดินปลูกใหม่เพื่อทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป

          ส่วนวิธีที่สองเป็นการปลูกในแปลงปลูก เพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนโบราณ โดยมักจะนิยมปลูกไว้บริเวณหน้าบ้าน เพราะจะได้เป็นเสน่ห์แก่บ้าน ซึ่งขนาดหลุมปลูก 20x20x20 เซนติเมตร โดยใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักและดินร่วมในอัตราส่วน 1 : 2 ผสมดินปลูก ปัจจุบันชาวบ้านหนองอ้อหันมาปลูกไผ่กวนอิมกันมากขึ้น เพื่อเสริมรายได้จากอาชีพทำนา โดยจะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่ ซึ่งผลผลิตจะส่งขายทั้งในและต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศ ได้แก่ อิหร่าน บรูไน แคนาดา ออส เตรเลีย จีน สิงคโปร์ และไต้หวัน

          "ถ้าเป็นพื้นที่ปลูกใหม่ต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นบาทต่อไร่ ปีถัดไปอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นบาท ส่วนรายได้เฉลี่ยจะอยู่ที่ 7 หมื่นบาทต่อไร่ต่อปี ไผ่กวนอิมที่นี่จะปลูกหลายชนิด เช่น ไผ่กวนอิมลายทอง ไผ่กวนอิมหยกมรกต ไผ่กวนอิมประเภท ไม้ดัด ไม้ชั้น และไม้สาน แล้วแต่ใครจะเลือกปลูกชนิดใด ทุกชนิดมีตลาดรองรับหมด" ประธานกลุ่มเกษตรกรปลูกไผ่อวนกิมบ้านหนองอ้อเผยข้อมูล

          ราคาจำหน่าย เหรียญทอง ระบุว่า ขึ้นอยู่กับแต่ละประเภท ซึ่งเป็นราคาขายส่งจากแปลงปลูก ถ้าเป็นไม้ชั้นเริ่มตั้งแต่ 2 ชั้น ราคาจะอยู่ที่ 15 บาท สูงสุด 9 ชั้น สนนในราคา 1,000 บาท ส่วนไม้สานรวม 20 เส้นยาว 35-40 เซนติเมตร ราคาอยู่ที่ 45 บาท ถ้ายาว 100 เซนติเมตร ราคา 150-180 บาท แต่หากสั่งจองคราวละจำนวนมาก ราคาก็อาจจะลดหย่อนลงได้

          "ผมบอกได้เลยว่า ไผ่กวนอิมรูปแบบต่างๆ ที่ขายกันอยู่ทั่วไปในท้องตลาด ทั้งในกรุงเทพฯ และตามต่างจังหวัด แหล่งผลิตหลักมาจากที่นี่ มีผู้มาดูงานแล้วทดลองนำไผ่กวนอิมไปปลูกที่อื่น ปรากฏว่าไม่ได้ผลดีเหมือนปลูกที่นี่ จึงอยากเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาส่งเสริมปลูกอย่างจริงจัง เพราะเป็นไม้เศรษฐกิจที่ตลาดต้องการมาก ซึ่งก็จะทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น สนใจไผ่กวนอิมของกลุ่ม 08-4374-8794" เหรียญทองกล่าวทิ้งท้าย

          การปลูกไผ่กวนอิมเพื่อการค้านับเป็นอีกทางเลือกของชาวบ้านหนองอ้อ ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในการสร้างรายได้เสริมควบคู่กับอาชีพหลักคือการทำนา ที่สามารถทำได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น

รถยนต์


 

คำแนะนำของมิชลิน

คุณจะต้องเปลี่ยนยางใหม่ก่อนที่ความลึกของร่องดอกยางจะสึกถึงเกณฑ์หรือเหลือเพียง 1.6 มม. ยางทุกเส้นของมิชลินจะมีสะพานยางอยู่ที่ฐานดอกยาง ซึ่งมีความสูงประมาณ 1.6 มม.

การตรวจสอบความปลอดภัยของยางทำได้ง่ายๆ ในเวลาเพียงครู่เดียว

คุณจะต้องหมั่นตรวจสอบความลึกของร่องดอกยางอย่างสม่ำเสมอ และต้องเปลี่ยนยางใหม่เมื่อยางสึกถึงเกณฑ์แล้ว เพื่อให้มั่นใจได้ว่ายางจะให้ประสิทธิภาพในการควบคุมรถยนต์และการเกาะถนนสูงสุด
เพราะเหตุดังกล่าวข้างต้น ระดับความลึกของร่องดอกยางมีผลต่อความปลอดภัยของคุณเพราะ
• ร่องดอกยางจะช่วยรีดน้ำที่อยู่ภายใต้ยาง และช่วยรักษาความสามารถในการควบคุมรถยนต์
• ยิ่งร่องดอกยางมีความลึกเหลือมากเท่าไหร่ ยางก็จะยิ่งสามารถรีดน้ำออกได้มากเท่านั้น และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเหินน้ำด้วย
• การใช้ความดันลมยางที่เหมาะสมและการดูแลรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ยางมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดและใช้งานได้นาน
• การยึดเกาะถนนของดอกยางมีผลต่อระยะเบรกที่ต้องใช้ในการหยุดร



จาก http://www.srdriving.com/main/content/view/64/54/
   ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นกับการเดินทางและการใช้รถบนถนน  ผู้ขับขี่รถยนต์อาจจะประสบปัญหาต่างๆเกี่ยวกับสมรรถภาพของรถยนต์ที่ใช้  แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยตนเอง  ถ้าเราทราบขั้นตอนพื้นฐานในการตรวจสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

วิธีการตรวจสอบรถยนต์ง่ายๆด้วยตนเอง
เป็นการดูแลสภาพทั่วไปของรถยนต์  เช่น
1. ยางรถยนต์ 
การตรวจลมยาง
         ควรตรวจเช็คลมยาง  และปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนด หรือตามคำแนะนำ ในหนังสือคู่มือของรถยนต์เป็นประจำ
         ในกรณีของยางใหม่  ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยาง ให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก) เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้ จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลงจากปกติได้
         ห้ามปล่อยลมยางออก  เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นขณะกำลังใช้งาน เพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะใช้งาน เป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น เมื่อยางเย็นตัวลง ความดันลมยางก็จะกลับสู่สภาวะปกติ
         เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว  ควรเปลี่ยนวาล์ว และแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา
         สำหรับยางอะไหล่  ให้ตรวจเช็คลมยางให้ถูกต้องทุกๆ เดือน
         หากขับรถที่ ความเร็วสูง ควรเติมลมมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ จะช่วยลดการบิดตัวของโครงยาง ทำให้เกิดความร้อนน้อยลง หรืออาจใช้การสังเกต จากที่ใช้งานทุกวัน และความชอบของผู้ขับรถเป็นเกณฑ์ โดยส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ยของความดันลมยางของรถเก๋ง จะประมาณ 28-30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ส่วนรถกระบะ จะประมาณ 35-40 ปอนด์/ตารางนิ้ว (ขับขี่ทั่วไปไม่บรรทุกหนัก)
สถาพดอกยาง
2. ระดับของเหลวต่างๆของรถยนต์  เช่น  น้ำมันเครื่อง  น้ำมันเกียร์  น้ำมันเบรค  น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์  น้ำฉีดกระจก  น้ำกลั่นแบตเตอรี่  สามารถตรวจได้บ่อยครั้ง หรือสำหรับผู้ไม่มีเวลาควรตรวจอย่างน้อย 1ครั้ง ต่อ 1สัปดาห์
2.1 น้ำมันเครื่อง การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง อุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานแล้วดับเครื่องเช็คระดับน้ำมันเครื่องโดย ใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง
- เพื่อให้การตรวจเช็คถูกต้อง รถควรอยู่ในแนวระดับเครื่องยังร้อน และทำการวัดหลังจากดับเครื่อง 2-3นาทีเพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงด้านล่างก่อน
- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออก เช็คน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดด้วยผ้า
- เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิม
- ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง " F " กับ " L " แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติ
ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไป เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
- ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่ก้านวัดอีกครั้งหลังเติมน้ำมันเครื่องลงไป
เช็คระดับนำมันเครื่อง
 2.2 น้ำมันเกียร์
- ขับรถยนต์เป็นเวลา 15 นาที เพื่ออุ่นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
ข้อแนะนำ:
• เนื่องจากน้ำมันเกียร์อัตโนมัติจะขยายตัวเมื่อมัน ร้อน ดังนั้นให้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์หลังจากที่ได้ทำการอุ่นให้ร้อนแล้ว เนื่องจากโครงสร้างของเกียร์อัตโนมัติจะทำให้ปริมาณของน้ำมันเกียร์มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างมากตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
• สำหรับโคโรลล่า ให้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์เมื่ออุณหภูมิสูงถึง 70 - 80°C (158 - 176°F)
-  จอดรถในพื้นระดับและดึงเบรกมือ
-  ให้เครื่องยนต์เดินเบา, เหยียบเบรก, ดึงคันเบรกมือและเลื่อนคันเกียร์อย่างช้าๆ จากตำแหน่ง P ไปยังตำแหน่งอื่นๆ จนถึงตำแหน่งเกียร์ L และเลื่อนกลับไปยังตำแหน่งเกียร์ P อีกครั้งหนึ่ง
-  ดึงไม้วัดระดับน้ำมันออกมาขณะที่เครื่องยนต์เดินเบา, เช็ดคราบน้ำมันด้วยผ้าให้สะอาด เสียบไม้วัดระดับน้ำมันเข้าไปอีกครั้ง และตรวจสอบระดับน้ำมันต้องอยู่ช่วง "HOT"
ข้อแนะนำ:
• เมื่อขีดของน้ำมันด้านหลังของเกจวัดแตกต่างจากด้านหน้า ให้อ่านค่าต่ำสุด
• เมื่อระดับน้ำมันมากกว่าค่ากำหนด น้ำมันเกียร์อัตโนมัติอาจรั่วออกจากรูระบาย เป็นสาเหตุทำให้เกียร์กระตุก
• ถ้าระดับน้ำมันเกียร์ต่ำเกินไป อาจทำให้การหล่อลื่นไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดการเสียดสีของกลไกภายในเกียร์มาก
ระดับน้ำมันเกียร์
2.3 น้ำมันเบรค
วิธีการตรวจเช็คระดับน้ำมันเบรคควรจะอยู่ระหว่าง MAX และ MIN แต่หมั่นตรวจเติมให้อยู่ในระดับ MAX ดีที่สุด
เทคนิค : เติมน้ำมันเบรคจนถึงเส้นไข่ปลาและเมื่อปิดฝา ระดับน้ำมันจะขึ้นถึงระดับที่ถูกต้อง
เครื่องมือ - อุปกรณ์ : ผ้าชุบน้ำผืนขนาดพอสมควร ใช้ปิดตัวถังรถ ด้านที่เติมน้ำมันเบรคเพื่อป้องกันการกระเด็นไปถูกตัวถังรถ
ข้อควรระวัง
-  เติมน้ำมันเบรคให้ตรงกับระบบเบรคของรถหรือน้ำมันเบรคที่เคยใช้อยู่เท่านั้น แดง-แดง ใส-ใส
-  น้ำมันเบรคเป็นอันตรายต่อดวงตาและทำลายสีรถ ระวังล้นหรือกระเด็น
-  น้ำมันเบรกจะเสื่อมคุณภาพหากมีน้ำหรือความชื้นปนลงไป
ระดับน้ำมันเบรค
2.4  น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
 ท่านควรตรวจระดับน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์เดือนละครั้ง และ ตรวจระดับน้ำพวงมาลัยเพาเวอร์ ในขณะที่เครื่องเย็นโดยดูที่ด้านข้างของกระปุกน้ำมัน ระดับน้ำมันควรอยู่ที่ไม่เกินขีดระดับสูงสุด และระดับต่ำสุด ถ้าระดับน้ำมันอยู่ต่ำกว่าขีดสุด ให้เติมน้ำมันจนระดับอยู่ที่ขีดสูงสุด
ข้อควรระวัง
-  เทน้ำมันช้าๆ และระวังอย่าทำน้ำมันหก ถ้าน้ำมันหกให้รีบทำความสะอาดทันที เพราะน้ำมันที่หกอาจทำความเสียหายแก่ส่วนประกอบอื่นในห้องเครื่องยนต์ได้
-  ควรใช้น้ำมันยี่ห้อที่ดีตามโฆษณาทั่วไป
-  การที่ระดับน้ำมันต่ำอาจเกิดจากการรั่วในระบบ ควรตรวจดูระดับน้ำมันและนำรถเข้ารับการตรวจสอบระบบพวงมาลัยเพาเวอร์โดยเร็ว
-  การหมุนพวงมาลัยค้างไว้สุดทั้งด้านซ้ายหรือขวาอาจจะทำให้ระบบลูกยาง ท่อยาง ลูกยาง ลูกน้ำท่อยาง ที่เกี่ยวข้องกับระบบเพาเวอร์ ฉีกขาดหรือแตกได้ เนื่องจากการหมุนพวงมาลัยสุดทำให้แรงดันสูง
ตำแหน่งน้ำมันพวงมาลัย
2.5 น้ำฉีดกระจก
การเติมน้ำฉีดกระจกให้เติมในถังสีขาวให้เต็มหรือบางท่านอาจจะผสมแชมพู เพื่อให้กระจกใสมากขึ้น
-  ระดับน้ำในถังน้ำฉีดกระจกอยู่ในระดับต่ำหรือว่าไม่มีเลย : เมื่อตรวจพบว่าระดับน้ำพร่อง ควรเติมน้ำผสมกับน้ำยาทำความสะอาดกระจกลงไปเล็กน้อย จะช่วยทำความสะอาดได้ดีกว่าน้ำสะอาดเพียงอย่างเดียวนอกจากการตรวจระดับน้ำ แล้วควรที่จะตรวจสภาพของถังน้ำเองว่ารั่วหรือไม่ โดยการเติมน้ำลงไปทิ้งเวลาสักพักและค่อยกลับมาตรวจระดับน้ำอีกครั้งว่าพร่อง หรือลดลงมากเพียงใด เมื่อตรวจไม่พบรอยรั่ว แล้วค่อยลองฉีดน้ำล้างกระจกอีกครั้ง
-  สายยางน้ำฉีดกระจกหลุดหรือรอยฉีกขาด : วิธีตรวจเช็คคือมองไล่ตั้งแต่การลำเลียงน้ำจากถังน้ำผ่านมอเตอร์ปั้มน้ำที่ ติดอยู่กับถังน้ำมองไล่ตั้งแต่สายยางที่ออกจากถังน้ำไปจนถึงหัวฉีดซึ่งถ้าพบ ว่ามีส่วนใดขาดหรือหลุดควรทำการซ่อมแซม
-  หัวฉีดน้ำอุดตัน : อาจจะเกิดจากการที่มีฝุ่นละอองไปอุดตันหัวฉีดน้ำ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการนำเข็ม หรือเหล็กแหลมที่สามารถแทงผ่านรูฉีดน้ำได้มาแทงผ่านรูฉีดน้ำเพื่อดันสิ่งที่ อุตันอยู่ให้หลุดออก พร้อมกับการตั้งระดับให้หัวฉีดสามารถฉีดน้ำพอดีกับกระจกไม่ต่ำหรือสูงเกินไป ส่วนถ้าใช้เหล็กแหลมทิ่มก็แล้วยังไม่หลุดต้องใช้มาตรการสุดท้ายคือการนำหัว ฉีดทั้งหัวไปต้มในน้ำร้อนเพื่อละลายคราบที่อุดตัน
-  มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ปั้มน้ำจากถัง : ถ้าตรวจตั้งแต่รายการ 1-3 แล้วก็ยังฉีดน้ำล้างกระจกไม่ได้ โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีหัวฉีด 2 ตัว และไม่สามารถฉีดน้ำได้ทั้ง 2 ตัวคงต้องพุ่งเป้าไปที่‘มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ปั๊มน้ำจากถัง’ส่วนสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ปั้มน้ำเสียนอกจากว่าจะหมดอายุการใช้ หรือเกิดจากการใช้งานที่ผิดอย่างเช่นระดับน้ำในถังน้ำต่ำหรือแห้งแต่ผู้ใช้ ยังคงพยายามฉีดน้ำทำให้มอเตอร์ร้อนจัดและเสียในที่สุด หรือการฉีดน้ำเป็นเวลานานเกินกว่า 20 วินาทีบ่อยๆ จะทำให้มอเตอร์ร้อนจัดและมีอายุสั้นลง
น้ำยาฉีดกระจก
2.6 น้ำกลั่นแบตเตอรี่
- ควรตรวจดูระดับน้ำกลั่น ก่อนทำการชาร์จทุกครั้ง ว่าแห้งไปหรือไม่ การตรวจเช็คสามารถดูได้จาก ลูกลอยระดับลูกลอยที่ลอยขึ้นมา จะต้องมองเห็นบาร์สีขาวเล็กน้อย ( ถ้าแถบบาร์สีขาวสูงเกินไปให้ดูดน้ำกลั้นออก เพราะนั้นอาจจะทำให้นำกลั่นล้นได้ ในขณะที่ทำการชาร์จ)หากไม่มีฝาลูกลอย ให้ใช้วิธีเปิดฝาจุกแล้วดูว่าน้ำกลั่นในเซลล์แบตเตอรี่มึระดับสูงกว่าแผ่น ธาตุภายในประมาณ 1 เซ็นติเมตร (วัดระดับด้วยสายตาก็ได้ ไม่ต้องใช้ไม้บรรทัดไปทาบนะค่ะ) ถ้าน้อยกว่าก็ให้เติมน้ำกลั่นลงไปให้อยู่ระดับที่ประมาณ 1 เซ็นติเมตร ห้ามเติมมากๆนะ เพราะเดี๋ยวน้ำกลั่นมันจำล้น เหมือนดังที่กล่าวข้างตัน
- ไม่ควรเติมน้ำหรือสิ่งอื่นใดลงไปในแบตเตอรี่ นอกจากน้ำกลั่น
- ในขณะที่ทำการชาร์จไม่ควรมีประกายไฟ ในบริเวณที่ทำการชาร์จ เพราะจะทำให้แก๊สที่เกิดขึ้นขณะชาร์จติดไฟได้ สถานที่ชาร์จจะต้องเป็นที่ร่ม สะอาด อากาศถ่ายเทได้สะดวก
- หลังการทำการชาร์จเรียบร้อยแล้ว ควรพักแบตเตอรี่ให้ระดับความร้อนของแบตเตอรี่ลดลงประมาณ 1ชั่วโมง จึงนำแบตเตอรี่มาใช้งาน
- ควรรักษาความสะอาดขั้ว บนฝา และรอบๆให้สะอาดและแห้งอยู่ตลอดเวลา ถ้าส่วนบนของแบตเตอรี่สกปรกให้ใช้ผ้าชุดน้ำแล้วเช็ดให้สะอาด จะให้น้ำล้างก็ได้ แต่ต้องระวังไม่ให้นำเข้าไปในตัวแบตเตอรี่ ( ควรทำความสะอาดให้แบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

ระดับน้ำกลั่น

สมารท์์โฟน

เปิดแอพฯซื้อ-ขายหุ้นผ่านมือถือแอนดรอยด์

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2555 เวลา 15:11 น.
วันนี้ (24 ก.ย.) ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดร.ภากร ปีตธวัชชัย  กรรมการ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด เปิดเผยว่า  บริษัท ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น เซ็ทเทรด สตรีมมิ่ง ฟอร์ แอนดรอยด์ เพื่อใช้สำหรับการซื้อขายหุ้นและอนุพันธ์แบบเรียลไทม์ ผ่านสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งมีฟังชั่นที่ใช้งานง่ายและเร็วขึ้น ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายหุ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งทางเซ็นเทรดได้ทำตลาดรวมกับซัมซุง เพื่อให้ผู้ที่สนใจและใช้ซัมซุง กาแล็คซี่ สมาร์ทโฟน แท็บและโน้ตของซัมซุงได้ใช้ก่อนตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. โดยดาวน์โหลดได้จาก ซัมซุง แอพ สโตร์ หลังจากนั้นผู้ใช้แอนดรอยด์ในมือถือยี่ห้ออื่นๆจะสามารถดาวน์โลดไปใช้ได้ในเดือน ม.ค. 2556 ผ่านกูเกิล เพลย์
ปัจจุบันมีนักลงทุนซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ตคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 52 % ของมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนบุคคลทั้งหมด และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นผ่านโทรศัพท์มือถือก็เติบโตมากกว่า 100% ติดต่อกัน 2 ปี หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งสัดส่วนการซื้อขายผ่านโทรศัพท์มือถือเมื่อเทียบกับการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ได้เพิ่มขึ้นเป็น 5% ในปีนี้ จากที่อยู่ที่ 3% ในปี 54 ส่วนในปี 56 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากว่า 10% ซึ่งก่อนหน้าเปิดตัวสองวันมีผู้เข้ามาดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้แล้วมากกว่า 2,000 ครั้ง
นายวิชัย พรพระตั้ง รองประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า  แอพพลิเคชั่นนี้สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนของซัมซุงที่ใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ 2.3 ขึ้นไป ปัจจุบันมีโทรศัพท์มือถือซัมซุงมากกว่า 30 รุ่น ที่รองรับสามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้ บริษัทไม่ได้คาดหวังว่ากิจกรรมนี้จะช่วยผลักดันยอดขาย แต่ต้องการให้ลูกค้าได้ใช้แอพพลิเคชั่นนี้ผ่านโทรศัพท์มือถือซัมซุงก่อนใครเป็นเวลา 3 เดือน และเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถซื้อขายหุ้นได้ทุกที่ทุกเวลา..
จาก http://www.dailynews.co.th/technology/157071

ข่าวต่างประเทส

คณะนักธุรกิจญี่ปุ่นยกเลิกเยือน"จีน"

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2555 เวลา 13:47 น.
วันนี้ ( 24 ก.ย. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นว่า คณะนักธุรกิจระดับแนวหน้าขอญี่ปุ่น ประกาศยกเลิกการเดินทางเยือนจีนเพื่อพบปะหารือกับผู้นำระดับสูง ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อเนื่องยาวนาน 37 ปีแล้วในวันนี้ ท่ามกลางกระแสความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ชาติ กรณีการแย่งชิงกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะพิพาทในทะเลจีนตะวันออก ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ
เดิมทีคณะนักธุรกิจ 175 คน ของสมาคมเศรษฐกิจญี่ปุ่น-จีน 1 ซึ่งเป็น 1 ใน 7 องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญระหว่างทั้ง 2 ประเทศ มีกำหนดเดินทางเยือนจีนในวันพฤหัสบดีที่ 27 ก.ย. นี้ เพื่อเข้าคารวะ นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะรัฐบาลจีน และร่วมงานฉลองครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิการทูตระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายฟูจิโอะ โช ประธานกรรมการบริหารบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ส กรุ๊ป ในฐานะประธานสมาคม และนายฮิโรมาสะ โยเนกูระ ประธานสหพันธ์เศรษฐกิจญี่ปุ่น จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งตามกำหนดการเดิม เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำ และพบปะหารือกับนายถัง เจี่ยสวน อดีต รมว.กระทรวงการต่างประเทศจีน
ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ประเทศ อันมีสาเหตุจากการแย่งชิงกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเซนกากุในภาษาญี่ปุ่น หรือที่ชาวจีนเรียกว่าหมู่เกาะเตียวหยู ส่อเค้าทวีความรุนแรง เริ่มจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศซื้อเกาะย่อย 3 เกาะ ตามมาด้วยการประท้วงต่อต้านดุเดือดในหลายเมืองใหญ่ของจีนและญี่ปุ่น รวมถึงการที่จีนทยอยส่งเรือตรวจการณ์เข้าไปยังน่านน้ำหมู่เกาะพิพาท และล่าสุด ทางการจีนออกมาประกาศเลื่อนการจัดพิธีฉลองครอบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้ง 2 ชาติออกไปอย่าง “ไม่มีกำหนด”
จากhttp://www.dailynews.co.th/world/157038

................................................................................................................................
 จระเข้พันธุ์สยาม,เวียดนาม
MThai News: สำนักข่าวของเวียดนามรายงานว่า จระเข้น้ำจืดขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นพันธุ์สยาม (crocodylus siamensis) ตัวสุดท้ายในประเทศเวียดนามถูกฆ่าตาย โดยที่คอของมันมีลวด 2 เส้นรัดอยู่ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น (29 ก.ย.)
ทั้งนี้ นาย Tran Van Bang ผู้เชี่ยวชาญด้านชีวะวิทยา กล่าวว่าจระเข้ตัวนี้เป็นเพศเมีย อายุเกือบ 100 ปี หนักว่า 150 กิโลกรัมและยาวกว่า 3.2 เมตร เมื่อตรวจสอบที่ตัวของมันก็พบว่า เนื้อของมันสีเปลี่ยนไป และหนังค่อยๆหลุดออกเป็นชิ้นๆ คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาประมาณ 3 วัน
และเมื่อตรวจสอบภายในช่องท้องก็ไม่พบไข่แม้แต่ใบเดียว นั่นก็แปลว่าไม่มีการผสมพันธุ์เกิดขึ้น ซึ่งจระเข้ตัวนี้ก็จะกลายเป็นจระเข้พันธุ์สยาม ตัวสุดท้ายที่พบในเวียดนาม ซึ่งชิ้นส่วนที่เหลือของมันจะถูกนำไปจัดแสดงเป็นตัวอย่างที่พิพิธภัณฑ์ในเมืองโฮจิมินซิตี้
สำหรับชาวพื้นเมืองเอเด (E De) ที่อาศัยอยูรอบๆทะเลสาบเอียลามของเวียดนามนั้น เรียกจระเข้ว่า “ปลาใหญ่” (Big fish) และนับถือจระเข้เป็นเสมือนบรรพบุรุษ เพราะมีความเชื่อว่าเมื่อบรรพบุรุษเสียชีวิตแล้วจะไปเข้าสิงในร่างจระเข้
 จระเข้พันธุ์สยาม,เวียดนาม
แท็ก : 
ติดต่อทีมข่าว : news@mthai.com
http://news.mthai.com/world-news/194378.html